ในอดีตกาลครั้งหนึ่ง
พ่อค้าสำเภา 700 คน เดินทางไปทำการค้าในทะเล ในวันที่เจ็ดเกิดพายุใหญ่ เรือกำลังจะจมพ่อค้าทั้งหลายต่างอ้อนวอนเทวดาให้ช่วยเหลือ แต่ชายคนหนึ่ง นึกถึงศีลเป็นที่พึ่ง แล้วนั้นขัดสมาธิ ดุจโยคีพวกพ่อค้าจึงถามว่าท่านไม่กลัวรึ ชายผู้นั้นตอบว่า เราไม่กลัวภัยเหล่านี้เพราะเราได้ถวายทานแด่พระภิกษุในวันที่ขึ้นเรือ และได้รับศีล ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่กลัว
พ่อค้าทั้งหลายอยากรับศีลเป็นที่พึ่งบ้าง ชายผู้นั้นจึงจัดให้พ่อค้ายืนเป็นแถว 7_แถว แถวละ 100_คน และให้สมาทานศีลที่ละแถว ขณะที่แถวแรกสมาทานศีล น้ำเข้ามาในเรือถึงระดับข้อเท้า เมื่อแถวที่ 2_สมาทานศีล น้ำก็ท่วมถึงเอว ระดับน้ำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อแถวที่ 7_สมาทานศีล ระดับน้ำมาถึงปากต้องสมาทานศีลขณะน้ำเข้าปากจากนั้น ชายผู้นั้นได้ร้องว่า "ที่พึ่งของเราไม่มีแล้วท่านทั้งหลายพึงนึกถึงแต่ศีลเท่านั้น" ในที่สุดทุกคนก็จมน้ำตายแล้วไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ด้วยอำนาจแห่งศีล
"เมื่อเรือนถูกไฟไหม้แล้ว เจ้าของเรือนขนเอาภาชนะใดออกไปได้ ภาชนะนั้นย่อมเป็นประโยชน์แก่เขา ส่วนสิ่งของที่มิได้ขนออกไป ย่อมไหม้ในไฟนั้น ฉันใด โลก (คือหมู่สัตว์) อันชราและมรณะเผาแล้ว ก็ฉันนั้น ควรนำออก (ซึ่งโภคสมบัติ) ด้วยการให้ทาน เพราะทานวัตถุที่บุคคลให้แล้ว ได้ชื่อว่านำออกดีแล้ว
ทานวัตถุที่บุคคลให้แล้วนั้นย่อมมีสุขเป็นผล ที่ยังมิได้ให้ย่อมไม่เป็นเหมือนเช่นนั้น โจรยังปล้นได้ พระราชายังริบได้ เพลิงยังไหม้ได้ หรือสูญหายไปได้ อนึ่งบุคคลจำต้องละร่างกายพร้อมด้วยสิ่งเครื่องอาศัยด้วยตายจากไป ผู้มีปัญญารู้ชัด ดั่งนี้แล้ว ควรใช้สอยและให้ทาน เมื่อได้ให้ทานและใช้สอยตามควรแล้ว จะไม่ถูกติฉิน เข้าถึง สถานที่อันเป็นสวรรค์"
คำสมาทานศีล 5
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมมาสัมพุทธัสสะ
พูทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ ธัมธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
๑. ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
๒. อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
๓. กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
๔. มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
๕. สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฎฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
สี เล นะ สุคติง ยันติ (ศีล นั้นจักเป็นเหตุให้ถึงความสุข)
สี เล นะ โภคสัมปทา (ศีล นั้นจักเป็นเหตุให้ได้มาซึ่ง โภคทรัพย์)
สี เล นะ นิพพุติง ยันติ (และศีลนั้นยัง จะเป็นเหตุให้ได้ไปถึง นิพพาน คือความดับเย็นจากกิเลส เครื่องเศร้าหมอง ทั้งปวง)
ศีล 5 คือศึลพื้นฐานที่ชาวพุทธทุกคนพึงยึดถือและปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อความสุขความเจริญของตนเอง
พ่อค้าสำเภา 700 คน เดินทางไปทำการค้าในทะเล ในวันที่เจ็ดเกิดพายุใหญ่ เรือกำลังจะจมพ่อค้าทั้งหลายต่างอ้อนวอนเทวดาให้ช่วยเหลือ แต่ชายคนหนึ่ง นึกถึงศีลเป็นที่พึ่ง แล้วนั้นขัดสมาธิ ดุจโยคีพวกพ่อค้าจึงถามว่าท่านไม่กลัวรึ ชายผู้นั้นตอบว่า เราไม่กลัวภัยเหล่านี้เพราะเราได้ถวายทานแด่พระภิกษุในวันที่ขึ้นเรือ และได้รับศีล ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่กลัว
พ่อค้าทั้งหลายอยากรับศีลเป็นที่พึ่งบ้าง ชายผู้นั้นจึงจัดให้พ่อค้ายืนเป็นแถว 7_แถว แถวละ 100_คน และให้สมาทานศีลที่ละแถว ขณะที่แถวแรกสมาทานศีล น้ำเข้ามาในเรือถึงระดับข้อเท้า เมื่อแถวที่ 2_สมาทานศีล น้ำก็ท่วมถึงเอว ระดับน้ำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อแถวที่ 7_สมาทานศีล ระดับน้ำมาถึงปากต้องสมาทานศีลขณะน้ำเข้าปากจากนั้น ชายผู้นั้นได้ร้องว่า "ที่พึ่งของเราไม่มีแล้วท่านทั้งหลายพึงนึกถึงแต่ศีลเท่านั้น" ในที่สุดทุกคนก็จมน้ำตายแล้วไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ด้วยอำนาจแห่งศีล
"เมื่อเรือนถูกไฟไหม้แล้ว เจ้าของเรือนขนเอาภาชนะใดออกไปได้ ภาชนะนั้นย่อมเป็นประโยชน์แก่เขา ส่วนสิ่งของที่มิได้ขนออกไป ย่อมไหม้ในไฟนั้น ฉันใด โลก (คือหมู่สัตว์) อันชราและมรณะเผาแล้ว ก็ฉันนั้น ควรนำออก (ซึ่งโภคสมบัติ) ด้วยการให้ทาน เพราะทานวัตถุที่บุคคลให้แล้ว ได้ชื่อว่านำออกดีแล้ว
ทานวัตถุที่บุคคลให้แล้วนั้นย่อมมีสุขเป็นผล ที่ยังมิได้ให้ย่อมไม่เป็นเหมือนเช่นนั้น โจรยังปล้นได้ พระราชายังริบได้ เพลิงยังไหม้ได้ หรือสูญหายไปได้ อนึ่งบุคคลจำต้องละร่างกายพร้อมด้วยสิ่งเครื่องอาศัยด้วยตายจากไป ผู้มีปัญญารู้ชัด ดั่งนี้แล้ว ควรใช้สอยและให้ทาน เมื่อได้ให้ทานและใช้สอยตามควรแล้ว จะไม่ถูกติฉิน เข้าถึง สถานที่อันเป็นสวรรค์"
คำสมาทานศีล 5
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมมาสัมพุทธัสสะ
พูทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ ธัมธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
๑. ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
๒. อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
๓. กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
๔. มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
๕. สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฎฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
สี เล นะ สุคติง ยันติ (ศีล นั้นจักเป็นเหตุให้ถึงความสุข)
สี เล นะ โภคสัมปทา (ศีล นั้นจักเป็นเหตุให้ได้มาซึ่ง โภคทรัพย์)
สี เล นะ นิพพุติง ยันติ (และศีลนั้นยัง จะเป็นเหตุให้ได้ไปถึง นิพพาน คือความดับเย็นจากกิเลส เครื่องเศร้าหมอง ทั้งปวง)
ศีล 5 คือศึลพื้นฐานที่ชาวพุทธทุกคนพึงยึดถือและปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อความสุขความเจริญของตนเอง