ทำอย่างไร "อธิษฐาน" จึงจะได้ผลทุก ๆ ครั้ง
ที่จริง ก็ตอบไปหลายตอนแล้วเช่นกัน แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อขยันถามก็จะ ขยันตอบ ด้วยความเต็มใจยิ่ง
การอธิษฐาน เมื่อจะเริ่มต้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ "การเปลี่ยนสถานะตัวเรา" นั่นคือ "การถวายชีวิต และภพชาติ เป็นพุทธบูชา"
(บทถวายชีวิต อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิ ข้าแต่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า, ข้าพระองค์ขอมอบกายถวายชีวิต, ต่อคุณพระศรีรัตนตรัย, คือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์, )
คงจะมีคำถามว่าทำอย่างไร
ที่จริง ก็ตอบไปหลายตอนแล้วเช่นกัน แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อขยันถามก็จะ ขยันตอบ ด้วยความเต็มใจยิ่ง
การอธิษฐาน เมื่อจะเริ่มต้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ "การเปลี่ยนสถานะตัวเรา" นั่นคือ "การถวายชีวิต และภพชาติ เป็นพุทธบูชา"
(บทถวายชีวิต อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิ ข้าแต่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า, ข้าพระองค์ขอมอบกายถวายชีวิต, ต่อคุณพระศรีรัตนตรัย, คือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์, )
คงจะมีคำถามว่าทำอย่างไร
คำตอบคือ " ให้ วาจา(ปาก) กับ ใจ ออกเสียงพร้อมกัน จึงกล่าวคำถวายชีวิต มีขั้นตอน ที่ส่วนใหญ่จะ พลาด ดังนี้
1. เริ่มต้นสวดมนต์ในใจก่อน (เริ่มตรง นะโม ... ง่ายดี) อย่าเพิ่งออกเสียงทางปาก
2. เมื่อได้ยินเสียง "ใจ" ชัดเจน (หมายถึงเสียงสวดมนต์...นะโม) ก็เริ่มออกเสียงทางปาก ตามไปอย่าดังนัก กะว่าให้รู้สีกว่าได้ยินเสียง "ใจ" เราพร้อมไปด้วย
3. สวดปาก+ใจ ไปเรื่อย ๆ ไล่ไป จากนะโมจนถึงธัสสะ แต่ละบท คอยระวังอย่าให้ปากไปก่อนใจ หรือ ใจไปก่อนปาก
4. เมื่อปาก กับ ใจ พร้อมกันอย่างแท้จริง "จะเกิดลักษณะอาการที่เรารับรู้ได้ ที่แตกต่างไป เช่น ขนลุก ง่วง หรือ หาว ฯลฯ
5. ลักษณะของข้อ 3 เรียกว่า "เข้าสู่ภาวะปิติ คือ ปาก กับใจ พร้อมกันจริง" ไม่ต้องสวดมนต์ต่อ แต่ให้ต่อด้วย "อิมาหัง ภัณเต ภควา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปริจะชามิ ... ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต และภพชาตินี้เป็นพุทธบูชา...(แค่นี้ สั้น ๆ พอ เพราะ ปิติที่เกิดขึ้นแรก ๆจะสั้นมาก)
6. หลังจากกล่าวถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา - กล่าวคำปรารถนาอย่างยิ่ง(ที่ต้องการ) ให้ทำสมาธิต่อในทันที เสร็จจากทำสมาธิ(น้อย...มาก ไม่เป็นไร แต่ต้องทำ) จากนั้นให้ ยาเทวะตา..ขอบคุณเทพยดา ผู้รักษาพระพุทธศาสนา และผู้ประพฤติชอบ
เป็นอันเสร็จ สมบูรณ์...
ถ้าทำได้ตามที่กล่าว ให้เริ่มสังเกตุชีวิต กิจการงานของเราได้เลยว่า สิ่งต่าง ๆ จะเปลี่ยนไปในด้านดี เรียกว่าชีวิตเปลี่ยน ไม่เกิน 3-7วัน หลังที่ทำได้อย่างนี้
หากจะถามว่า ชีวิต กิจการงาน ฯลฯ ของเราเปลี่ยนในด้านดีขึ้น แม้บางเรื่องที่เหนือธรรมชาติ ก็เป็นไปได้นั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
คำตอบก็คือ
ในขณะที่ ปาก กับ ใจ พร้อมกันนั้น ได้เกิดลักษณะแห่งปิติ เป็นสภาวะแห่ง "พรหม" สูงกว่าเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย แต่มันสั้นมากจึงเรียกว่า "ปริต=ปริตารมย์" ถือว่า "เป็นพรหมขั้นต้นคือ ปริตาพรหม"
ด้วยเหตุนี้เราจึงถวายชีวิตของเราได้ชีวิต ณ ขณะมีปิติเป็นชีวิตระดับสูง จึงถวายของสูงคือชีวิตเราขณะนั้นแก่ ชีวิตเก่า ณ ขณะเวลานั้นได้หยุดลงไป ณ เวลาปิติ
อานิสงค์เพียงแค่ปฏิบัติได้ "ปิติ" คือ วาจา กับ ใจ ตรงกัน เมื่อถึงกาลกิริยา(ตาย) ก็จักไปบังเกิดเป็น พรหม ชื่อว่า "ปริตาพรหม" พ้นจากกามาวจรภูมิ คือ สูงกว่า มนุษย์และเทวดา เมื่อถึงกาลกิริยา(ตายจะไม่กลับมาเป็นมนุษย์หรือเทวดาอีก ยกเว้นอธิษฐานขอเกิดในกามาวจรภูมิ)
เทวดาที่มีหน้าที่ดูแลรักษาผู้ปฏิบัติชอบมิให้เกิดความลำบากทั้งปวง เมื่อได้ยินการถวายชีวิตเป็นพุทธบูชาของเรา ท่านจึงอนุโมทนาและคำกล่าวปรารถนาของเรา อารักขเทวตา จึงจัดให้ในสิ่งที่เราขาดหรือปรารถนาอย่างยิ่ง ให้เป็นจริงด้วยเทวฤทธิ์ (เพราะผู้กล่าวขอคือเรา ณ เวลานั้น มีฐานะสูงกว่าเทวดา)
สิ่งปรารถนาจึงปรากฏเป็นจริงได้ด้วยเหตุดังนี้
จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คำตอบ และข้อแนะนำ คงเป็นเสมือนเทียนเล่มน้อย ท่ามกลางแสงตะวัน ให้ท่านทั้งหลาย ได้ปฏิบัติอย่างได้ผล ถูกต้องตามพุทธพจน์ อันปรากฏใน"สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค"
ขอความเจริญผาสุข สวัสดี ก้าวหน้าในการปฏิบัติจงทั่วกันทุกท่านเทอญ เจริญพร
(คัดลอกมาจาก คำสอนพระอาจารย์ธรรมบาล วัดสุวรรณโคมคำ)
1. เริ่มต้นสวดมนต์ในใจก่อน (เริ่มตรง นะโม ... ง่ายดี) อย่าเพิ่งออกเสียงทางปาก
2. เมื่อได้ยินเสียง "ใจ" ชัดเจน (หมายถึงเสียงสวดมนต์...นะโม) ก็เริ่มออกเสียงทางปาก ตามไปอย่าดังนัก กะว่าให้รู้สีกว่าได้ยินเสียง "ใจ" เราพร้อมไปด้วย
3. สวดปาก+ใจ ไปเรื่อย ๆ ไล่ไป จากนะโมจนถึงธัสสะ แต่ละบท คอยระวังอย่าให้ปากไปก่อนใจ หรือ ใจไปก่อนปาก
4. เมื่อปาก กับ ใจ พร้อมกันอย่างแท้จริง "จะเกิดลักษณะอาการที่เรารับรู้ได้ ที่แตกต่างไป เช่น ขนลุก ง่วง หรือ หาว ฯลฯ
5. ลักษณะของข้อ 3 เรียกว่า "เข้าสู่ภาวะปิติ คือ ปาก กับใจ พร้อมกันจริง" ไม่ต้องสวดมนต์ต่อ แต่ให้ต่อด้วย "อิมาหัง ภัณเต ภควา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปริจะชามิ ... ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต และภพชาตินี้เป็นพุทธบูชา...(แค่นี้ สั้น ๆ พอ เพราะ ปิติที่เกิดขึ้นแรก ๆจะสั้นมาก)
6. หลังจากกล่าวถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา - กล่าวคำปรารถนาอย่างยิ่ง(ที่ต้องการ) ให้ทำสมาธิต่อในทันที เสร็จจากทำสมาธิ(น้อย...มาก ไม่เป็นไร แต่ต้องทำ) จากนั้นให้ ยาเทวะตา..ขอบคุณเทพยดา ผู้รักษาพระพุทธศาสนา และผู้ประพฤติชอบ
เป็นอันเสร็จ สมบูรณ์...
ถ้าทำได้ตามที่กล่าว ให้เริ่มสังเกตุชีวิต กิจการงานของเราได้เลยว่า สิ่งต่าง ๆ จะเปลี่ยนไปในด้านดี เรียกว่าชีวิตเปลี่ยน ไม่เกิน 3-7วัน หลังที่ทำได้อย่างนี้
หากจะถามว่า ชีวิต กิจการงาน ฯลฯ ของเราเปลี่ยนในด้านดีขึ้น แม้บางเรื่องที่เหนือธรรมชาติ ก็เป็นไปได้นั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
คำตอบก็คือ
ในขณะที่ ปาก กับ ใจ พร้อมกันนั้น ได้เกิดลักษณะแห่งปิติ เป็นสภาวะแห่ง "พรหม" สูงกว่าเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย แต่มันสั้นมากจึงเรียกว่า "ปริต=ปริตารมย์" ถือว่า "เป็นพรหมขั้นต้นคือ ปริตาพรหม"
ด้วยเหตุนี้เราจึงถวายชีวิตของเราได้ชีวิต ณ ขณะมีปิติเป็นชีวิตระดับสูง จึงถวายของสูงคือชีวิตเราขณะนั้นแก่ ชีวิตเก่า ณ ขณะเวลานั้นได้หยุดลงไป ณ เวลาปิติ
อานิสงค์เพียงแค่ปฏิบัติได้ "ปิติ" คือ วาจา กับ ใจ ตรงกัน เมื่อถึงกาลกิริยา(ตาย) ก็จักไปบังเกิดเป็น พรหม ชื่อว่า "ปริตาพรหม" พ้นจากกามาวจรภูมิ คือ สูงกว่า มนุษย์และเทวดา เมื่อถึงกาลกิริยา(ตายจะไม่กลับมาเป็นมนุษย์หรือเทวดาอีก ยกเว้นอธิษฐานขอเกิดในกามาวจรภูมิ)
เทวดาที่มีหน้าที่ดูแลรักษาผู้ปฏิบัติชอบมิให้เกิดความลำบากทั้งปวง เมื่อได้ยินการถวายชีวิตเป็นพุทธบูชาของเรา ท่านจึงอนุโมทนาและคำกล่าวปรารถนาของเรา อารักขเทวตา จึงจัดให้ในสิ่งที่เราขาดหรือปรารถนาอย่างยิ่ง ให้เป็นจริงด้วยเทวฤทธิ์ (เพราะผู้กล่าวขอคือเรา ณ เวลานั้น มีฐานะสูงกว่าเทวดา)
สิ่งปรารถนาจึงปรากฏเป็นจริงได้ด้วยเหตุดังนี้
จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คำตอบ และข้อแนะนำ คงเป็นเสมือนเทียนเล่มน้อย ท่ามกลางแสงตะวัน ให้ท่านทั้งหลาย ได้ปฏิบัติอย่างได้ผล ถูกต้องตามพุทธพจน์ อันปรากฏใน"สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค"
ขอความเจริญผาสุข สวัสดี ก้าวหน้าในการปฏิบัติจงทั่วกันทุกท่านเทอญ เจริญพร
(คัดลอกมาจาก คำสอนพระอาจารย์ธรรมบาล วัดสุวรรณโคมคำ)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น